*บทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของหนัง*
ไม่นานมานี้ ที่งานครบรอบ 10 ปี Girls’ Generation วันที่ 5 สิงหาคม 2017 ทิฟฟานี่-หนึ่งในสมาชิกได้บอกว่าหนังที่เธอกำลังอินอยู่ช่วงนี้คือ Okja (อคจา) โดยผู้กำกับ บง จุนโฮ ที่เคยสำแดงฤทธิ์เดชให้ชาวเกาหลีใต้รวมถึงคนทั้งโลกได้ประจักษ์มานักต่อนักด้วยภาพยนตร์ดังมากมาย เช่น Mother (2009),The Host (2006) , Memories of Murder (2003) และ Snowpiercer (2013) ซึ่งหลายคนอาจจะรู้จักเรื่องสุดท้ายมากกว่าเพราะว่ามีนักแสดงฮอลลีวู้ดชื่อดังมากมายมาร่วมแสดง
ตัวเราเองก็เป็นแฟนคลับของผู้กำกับบงจุนโฮเช่นกัน เพราะมีโอกาสได้รู้จักเขาจากรายการวาไรตี้ที่สาวๆโซนยอชิแดไปร่วมเมื่อหลายปีมาแล้ว คือรายการ Intimate Note ทั้งพิธีกรและสาวๆเองต่างพูดถึงหนังเรื่อง Mother ว่าเป็นหนังที่สุดยอดมากๆ และเพราะชอบสาวๆนั่นแหละเราถึงได้ไปตามหาดู พอดูแล้วก็รู้สึกอึ้งและทึ่งในฝีมือการกำกับและการเขียนบทที่เฉียบคมของบงจุนโฮมาก จนต้องไปตามหาหนังเรื่องอื่นๆของเขา
กระทั่งทราบข่าวว่าปีนี้จะมีหนังเรื่อง Okja แถมหนึ่งในนักแสดงคือ Steven Yuan หนุ่มตี๋สุดหล่อจาก The Walking Dead ที่เราชอบมาร่วมแสดงยิ่งไม่น่าพลาดใหญ่
แต่พอเห็นโปสเตอร์ที่เป็นรูปเด็กผู้หญิงจูงสัตว์ลักษณะเหมือนฮิปโปก็ทำให้เกิดความลังเลอย่างใหญ่หลวงว่าจะดูดีไหม 5555+ เพราะเราแอบคิดไปว่ามันต้องเป็นหนังแฟนตาซี เหนือจริงอะไรแบบนี้แน่เลยซึ่งไม่ใช่แนวเราเลย จึงเกิดการดองหนังเรื่องนี้เรื่อยมาทั้งที่ Netflix ไทยฉายมาตั้งนานแล้ว ทว่าด้วยความติ่งโซชิฯอันแรงกล้า ล่วงมาจนถึงเดือนสิงหาตอนที่ทิฟฟานี่บอกว่าชอบหนังเรื่องนี้ เราจึงรีบไปเปิดดูทันทีโดยไม่มีความลังเลใดๆ
อคจาเป็นเรื่องของคนกับหมู เท่านี้จริงๆเลยค่ะ เหมือนคนกับหมา เหมือนคนกับแมว นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ผู้กำกับบงจุนโฮอยากจะบอกคนดูสั้นๆก็ได้นะสำหรับเรา
หนังว่าด้วยโครงการแข่งขันเลี้ยงซุปเปอร์หมูที่เป็นหมูตัวใหญ่(มาก) เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ ปลอด GMO สร้างมลภาวะน้อยที่สุด กินน้อย ขับถ่ายน้อยและโคตรอร่อยเลย ไม่สิ้นเปลืองงบประมาณในการเลี้ยงดูแต่ให้เนื้อปริมาณมหาศาลต่อตัว ซึ่งประธานบริษัทมิรานด้าคนน้อง (นำแสดงโดย Tilda Swinton) อ้างว่ามันมาจากฟาร์มแห่งหนึ่งในชิลี แต่วันที่จะรอมันเติบใหญ่นั้นต้องใช้เวลาถึง 10 ปี
ตัดภาพมาที่หุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งไกลจากเมืองใหญ่ในเกาหลีใต้หลัง 10 ปีผ่านไป หนูน้อย ‘มิจา’ (นำแสดงโดย Ahn Seo Hyun-อันโซฮยอน) ที่เติบโตมากับลูกหมู ‘อคจา’ ตั้งแต่ 4 ขวบก็ได้โชว์ให้เราเห็นความสัมพันธ์ของเธอกับอคจาที่ไม่ต่างอะไรกับความสัมพันธ์ของคนอื่นๆที่เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวกัน เธอพูดคุยกับมัน เล่นสนุกกับมัน ยิ้มหัวเราะ นอนบนหลังมัน มันช่วยเธอหาผลไม้และจับปลาเพื่อประทังชีวิต ทั้งยังช่วยชีวิตเธอและยอมตายแทนเธออีกด้วย(แต่ไม่ตายนะ) หนังปูเรื่องมาทำให้เราได้เห็นความผูกพันธ์ของทั้งคู่ที่ไม่ได้ดูประหลาดอะไรทั้งที่รูปลักษณ์ของมันน่ะประหลาดมากๆในสายตาคนธรรมดาทั่วไป-ฉากนี้ทำให้เราฉุกคิดได้ว่าเพียงเพราะมันไม่ได้หน้าตาน่ารักเหมือนหมาหรือแมวก็ตัดสินและแบ่งประเภทมันออกจากสัตว์เลี้ยงให้เป็นสัตว์ที่สามารถกินได้แล้วงั้นหรือ?
แล้วอยู่ดีๆการมาถึงของด็อกเตอร์จอห์นนี่ (นำแสดงโดย Jake Gyllenhaal) ก็เปลี่ยนบรรยากาศของหนังไปเป็นหนังบู๊เฉยเลย 555+ คือเค้ามาเพื่อรับเอาอคจาคืนกลับให้กับบริษัท แล้วจากนั้นก็เป็นฉากที่น้องมิจาออกตามล่าหมูของตัวเองคืนกลับมาทั้งเรื่องเลย ซึ่งเราบอกได้เลยว่าสนุกมาก! เพราะน้องเค้าเล่นคุ้มค่าตัวมากๆเลยค่ะ ทั้งกระโดดชนกระจกแตก ทั้งกระโดดเกาะหลังรถเพื่อตามล่าน้องหมูของตนกลับบ้าน คือมันเป็นอะไรที่..แค่พล็อตมันก็อะไรไม่รู้แล้วอะ แล้วยังเดาอะไรไม่ได้อีกเลยทำให้หนังยิ่งสนุก
- ฉากเล็กๆน้อยๆที่เราคิดว่าผู้กำกับตั้งใจใส่มาเป็นสัญลักษณ์ จะเห็นว่าตัวละครหลักนั้นเงยหน้าขึ้นมองป้ายหาทางไปบริษัทมิรานด้าแล้วจึงเดินสวนทางกับกระแสผู้คนมากมายในเมืองใหญ่ ในที่นี้อาจสื่อได้ว่าในบรรดาผู้คนทั้งหมดที่กินหมูเป็นอาหารนี้ มิจากลับเลือกจะเลี้ยงมันไว้เป็นสัตว์เลี้ยง – การดูภาพยนตร์นั้นภาพเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ยิ่งกับผู้กำกับระดับเทพอย่างบงจุนโฮด้วยแล้ว แม้ฉากเล็กๆก็อย่าได้มองข้าม
จากนั้นระหว่างที่กำลังต่อสู้เพื่อนำหมูกลับบ้านด้วยตัวคนเดียวมาประมาณ 30 นาที ก็มีเหล่าผู้พิทักษ์รักษาสัตว์ในคราบของโจรสวมหมวกไอ้โม่งปรากฎตัวขึ้น ซึ่งพวกโจรนี่ก็เป็นนักแสดงดังๆทั้งนั้น 555+ เรารัก Netflix ก็ตรงนี้แหละ นำทีมโดย Paul Dano (ในที่สุดก็ได้บทเท่ๆกับเค้าซะที), Lilly Collinst (จาก Love,Rosie) และ Steven Yuan นั่นเอง
- จะเห็นได้ว่าผู้กำกับเลือกใช้ สีดำ-สีของตัวร้าย,ความผิด,ความชั่วร้ายแทนเหล่าผู้พิทักษ์รักษาสัตว์ และใช้ สีชมพู-สีแห่งความรัก,อ่อนหวานน่ารัก สีที่นิยมชมชอบสามัญโดยทั่วไปแทนเหล่าคนกินเนื้อหมู ถือเป็นการประชดประชันที่เจ็บจิ๊ดๆนะเจ็บนิดๆนะเจ็บเหมือนมดกัดนิดเดียว
แต่การจะกำจัดบริษัทมิรานด้านั้นเหล่าผู้พิทักษ์สัตว์จำต้องส่งตัวอคจากลับให้กับทางบริษัท เพื่อจะได้แอบถ่ายภาพจากกล้องติดตามที่ติดอยู่ในใบหูของอคจาเพราะพวกเขาไม่มีหลักฐานชัดเจนที่จะมัดตัวบริษัทนี้ได้ ทว่าก่อนจะตัดสินใจพวกเขาจำต้องได้รับการยินยอมจากน้องมิจาก่อน แต่ด้วยความไม่รู้ภาษาอังกฤษของน้องมิจาที่เป็นชาวป่าชาวเขานั้นสาส์นได้ถูกตีความผิดไปด้วยผู้ที่เป็นล่ามภาษาเกาหลีก็คือ Steven นั่นเอง ทั้งที่น้องบอกว่าจะพาอคจากลับบ้านแต่ Steven กลับแปลอีกอย่างว่าเธอตกลงเพราะอยากให้ภารกิจสำเร็จ แล้วนั่นก็นำพามาซึ่งหายนะอันใหญ่หลวงแก่ตัวอคจา เพราะหลังถูกส่งตัวกลับเธอก็โดนกระทำชำเรามากมายจากบริษัท อันเป็นที่มาของฉากที่ทิฟฟานี่บอกว่าชอบ นั่นก็คือ-
- ‘การแปลภาษาเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์’ ภาพรอยสักจากแขนของ Steven ที่ถูกไล่ออกจากกลุ่มหลังหัวหน้ากลุ่มทราบว่าเค้าตั้งใจแปลผิด โดยมันส่งผลให้ชีวิตหนึ่ง(อคจา)ต้องสุ่มเสี่ยงเฉียดใกล้ความตายโดยที่พวกเขาไม่ได้ตั้งใจแท้ๆ
และขอตัดรวบมาตอนจบเลยก็แล้วกันเพื่อไม่เป็นการเปิดเผยเนื้อหามากไปกว่านี้ เพราะฉากจบก็เป็นอะไรที่จุกอีกแล้ว ในตอนจบมีการปรากฎตัวของแฝดพี่ของเจ้าของบริษัทมิรานด้าซึ่งเป็นนักธุรกิจหัวเก่าเจริญรอยตามพ่อ ต่างจากแฝดน้องที่เป็นตัวต้นเรื่องของการแข่งขันประกวดซุปเปอร์หมูครั้งนี้ ในขณะที่แฝดน้องเฝ้าทำการตลาดทุกอย่างด้วยการสร้างภาพตนและบริษัทให้ดูสวยงามมาตลอดทั้งเรื่องเพียงเพราะเธอต้องการโชว์ซุปเปอร์หมูที่ทำให้ตนได้ขึ้นหน้าหนึ่งโดยปลายปากกานักเขียนคอลัมม์ชื่อดัง ถึงขั้นที่ปู่ของน้องมิจาเคยขอซื้อตัวอคจาแต่เธอก็ไม่ยอม เพราะ ‘ภาพ’ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในสังคมปัจจุบันนี้ เธอไม่อยากได้เศษเงินน้อยนิดแต่เธออยากสร้างชื่อเสียงของบริษัทในทางที่ดีในสายตาของสังคมที่กำลังหันมารับประทานชีวจิตและกังวลเรื่องการปศุสัตว์จะทำให้เกิดมลภาวะโลกร้อน
ซึ่งจากต่างจากแฝดคนพี่ที่เข้ามาจัดการทุกอย่างหลังแฝดน้องทำงานประกวดหมูและชื่อเสียงของบริษัทเละเทะหมด แฝดพี่ยอมรับหมูทองคำของน้องมิจาเพราะเธอเป็นนักธุรกิจ เป็นคนค้าขาย ถ้าเงินมา-สินค้าก็ไป เธอยอมคืนหมูให้น้องมิจาแบบโคตรง่ายจนเรางงไปหมดว่าน้องสู้บินข้ามโลกมาเพื่อบู๊แหลกจนเลือดเต็มตัวไปทำไมกันเนี่ยยย 55555+ แต่มันก็เป็นการตอกย้ำวงการธุรกิจและสังคมเราในตอนนี้ได้ดีเลยทีเดียว
สรุป :
- ก็คือหนังสนุกมากกกกก เต็ม 10 ให้ 100 เลยค่ะเรื่องนี้ ชอบที่สามารถเอาประเด็นอ่อนไหว ประเด็นเครียดๆมาให้คนที่ไม่ได้อินเกี่ยวกับประเด็นนี้เลยอย่างเราถึงกับน้ำตาคลอเลยทีเดียว (ใครจะคิดว่าหน้าตาแบบหมูในโปสเตอร์เนี่ยจะทำให้เราร้องไห้เพื่อมันหรือรู้สึกรักและเอ็นดูมันได้ล่ะ) คือหนังไม่ได้ใส่ทุกอย่างมาแบบยัดเยียดแต่ปล่อยให้มันดำเนินไปด้วยอารมณ์ที่ค่อนไปทางสนุกสนานเสียด้วยซ้ำ
- และก็พบว่าบงจุนโฮเอาอีกแล้ว โชว์ของได้ตลอด เทพอีกแล้ว เทพจริงๆ มีทั้งฉากตลก เศร้าซึ้ง อบอุ่น บู๊แหลก ประชดประชัน กัดเจ็บ แล้วก็ฝากอะไรให้ซึมลึกเข้าไปในใจของคนดูโดยไม่รู้ตัว ต้องขอลุกขึ้นปรบมือให้เลยทีเดียว
เพิ่มเติม :
- ช่วงหลายปีหลังๆมานี้ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าบทภาพยนตร์ของเกาหลีใต้นั้นเรียกได้ว่านำหน้าฮอลลีวู้ดที่เน้นไปทางการใช้ CG และฉากบู๊เป็นหลักมากกว่าจะให้ความสนใจที่ตัวบทของหนังไปไกลแล้ว บางเรื่องของเกาหลีเรียกได้ว่าแทบไม่ต้องใช้งบประมาณสูงลิ่ว มีนักแสดงไม่กี่คนและโลเกชั่นเดียว หรือ 2-3 ที่แต่บทดีมาก ทั้งลุ้น ทั้งพลิกตั้งแต่ต้นยันจบก็มีมาแล้ว ยกตัวอย่างเช่นหนังเรื่อง The Terror Live (2013) ที่ใช้สถานที่ถ่ายทำฉากเดียวเกือบทั้งเรื่องนั้นมีบทภาพยนตร์ที่สนุกและตื่นเต้นจนวินาทีสุดท้าย
- ต้องขอบคุณสาวๆโซชิมากๆที่ทำให้เราได้รู้จักผู้กำกับเก่งๆแบบนี้